link blog เพื่อนของเราเอง

นักเรียนโรงเรียนบเญจมเทพอุทิศ และต่อไปอยากเป็ฯเด็กจุฬาค่ะ (จะสูงไปเปล่านะ) แต่ก็ต้องพยายาม สู้ตาย!!!
เขียนโดย ออย ที่ 05:38 0 ความคิดเห็น
มะเร็งลำไสใหญ่ ลำไส้ตรงและทวารหนักทางเดินอาหารเริ่มต้นจากปาก หลอดอาหาร ลำไสเล็ก ลำไส้ใหญ่ เป็นส่วนล่างของระบบทางเดินอาหาร ต่อด้วยลำไส้ตรง และส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่ คือ ทวารหนัก สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งลำไสใหญ่ ลำไส้ตรงและทวารหนัก คือ ผู้ป่วยชอบกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์มาก ไขมันสูง หรือมีเส้นใยน้อยเป็นประจำ และโรคบางอย่างของลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ และติ่งเนื้องอกในลำไส้บางชนิดอาจกลายเป็นมะเร็งได้ อาการของโรค จะมีการเปลี่ยนเปลงนิสัยการถ่ายอุจจาระทั้งจำนวนครั้งและลักษณะของอุจจาระที่ออกมา มีเลือกเก่า ๆ และมูกออกทางทวารหนัก ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรื้อรัง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ จะทำให้น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ซีด หรือโลหิตจาง โดยหาสาเหตุไม่ได้ และจะคลำพบก้อนที่บริเวณท้อง และมีการอุดตันของลำไส้ใหญ่การวินิจฉัย แพทย์จะทำการตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยการสวนแป้งแบเรียมเข้าทางทวารหนักแล้วถ่ายเอกซเรย์และตรวจด้วยกล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ สามารถดูรอยโรคโดยตรงและตัดชิ้นเนื้อไปตรวจวิเคราะห์ได้ด้วยการรักษา โดยการผ่าตัด รังสีรักษา เคมีบำบัด การรักษาแบบผสมผสาน ด้วยวิธีการดังกล่าวข้างต้น แต่จะใช้วิธีการใดนั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค และสภาวะของผู้ป่วย การป้องกัน ควรรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมและควบคุมระบบขับถ่ายให้ถูกต้อง รับประทานผัก ผลไม้ เป็นประจำ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ ส่วนที่ไหม้เกรียม จากการปิ้ง ย่าง ทอด รมควัน ลดอาหารไขมันสูง สำหรับผู้ทีมีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับทวารหนักและลำไส้ใหญ่ แผลอักเสบเรื้อรัง เนื้องอก ควรได้รับการตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนักอย่างน้อยปีละครั้ง และผู้ที่มีบิดามารดา ญาติพี่น้อง เคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรได้รับการตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง ควรรีบไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติดังกล่าวอาการผิดปกติที่ควรพบแพทย์ ถ้าพบว่ามีการถ่ายอุจจาระเช่น ท้องผูก สลับกับท้องเดิน มีเลือดเก่า ๆ และมูกปน หรือพบว่ามีอาการท้องอืด แน่น เฟ้อ เรื้อรัง น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ซีดหรือโลหิตจางโดยหาสาเหตุไม่ได้ และคลำพบก้อนในท้อง
เขียนโดย ออย ที่ 06:02 0 ความคิดเห็น
บทความว่าด้วยเรื่องกฎทรงผม ของ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ จากหนังสือพิมพ์มติชนฉบับ 2 พฤศจิกายน 2550 มีคำตอบสรุปความได้ว่า ประเทศไทยรับทรงผมทรงนักเรียนทั้งเครื่องแบบต่างๆ จากญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในช่วงสงครามนั้นเกิดเหาระบาดมาก ประชาชนจึงนิยมตัดผมสั้นเกรียน
และต่อไปนี้คือเหตุผลสำคัญๆ ที่ไม่ควรมีกฎทรงผมนักเรียน
1.ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพราะการเลือกทรงผมไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนเช่นกัน
2.ไร้ซึ่งความจำเป็น เดิมกฎทรงผมเป็นกฎของทหารเพื่อใช้ปลูกฝังการเชื่อฟังคำสั่ง ปลูกฝังอำนาจนิยม และเพื่อความสะดวกในการดูแลรักษา แต่การปลูกฝังอำนาจนิยมทำให้เด็กมีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อบ้านเมือง และนักเรียนนักศึกษาไม่ต้องรีบร้อนในชีวิตประจำวัน สามารถดูแลทรงผมได้
3.การใช้กฎทรงผมบังคับเป็นการสร้างภาพลักษณ์เสมือนมีวินัย เนื่องจากระเบียบวินัยที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการบังคับให้ทำ แต่หากเป็นการกระทำออกมาด้วยจิตสำนึก
4.ทำให้เยาวชนคิดไม่เป็นว่าสิ่งที่ทำอยู่ผิดหรือถูก ได้แต่รับคำสั่งไปวันๆ
5.ส่งเสริมให้เยาวชนไม่รักษาสิทธิ เนื่องจากการเลือกทรงผมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของบุคคลนั้นๆ แต่สถานศึกษากลับเพิกเฉยและตั้งกฎระเบียบอันเข้มงวด ทำให้นักเรียนไม่สามารถรักษาสิทธิของตัวเองได้ นับวันก็จะมีแต่คนหมดหวัง หมดอาลัย ทั้งที่เป็นสิทธิของบุคคลนั้นๆ
6.ปลูกฝังให้เยาวชนละทิ้งเหตุผล เยาวชนหลายคนมีคำถามอยู่ในใจ แต่เมื่อได้รับคำตอบว่า "มันเป็นกฎ" หรือ "เธอไม่พอใจที่จะทำตามกฎ ก็ไม่ต้องเรียน" ซึ่งไม่ใช่คำตอบที่ดีของคนที่มีการศึกษาและกำลังให้การศึกษาต่ออนุชนรุ่นหลัง เพราะแสดงถึงความไร้เหตุผลอย่างยิ่งยวด ส่วนคนที่ยึดมั่นในเหตุผลและรอคอยคำตอบก็จะถูกมองเป็นพวกก้าวร้าว แล้วจะค่อยๆ ถูกหล่อหลอมเป็นพวกยอมรับกฎโดยที่ไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร เดินไปโดยปราศจากเป้าหมาย เป็นส่วนจากการทิ้งเหตุผลของผู้ใหญ่
7.เป็นการส่งเสริมให้ใช้อำนาจโดยมิชอบ จากการที่เยาวชนซึมซับการใช้อำนาจของครูของเขาที่ใช้อำนาจอย่างไร้เหตุผลให้เขาตัดทรงผมสั้นโดยไม่มีเหตุผล เขาจะทำตามโดยใช้อำนาจอย่างผิดๆ ทำร้ายคนอื่น
8.ทำให้เกิดการเหยียดหยามดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บางคนอาจได้ยินผู้ใหญ่ด่าว่าไว้ผมยาวเหมือนฮิปปี้จะไปเป็นนักเลงหรือ นั่นคือการเหยียดหยาม ความเป็นคนไม่ได้อยู่ที่ทรงผม จะเป็นคนดี จะสั้นยาวก็ไม่มีปัญหา
9.ทำให้ชื่อเสียงของโรงเรียนเป็นสิ่งจอมปลอม และมองข้ามชื่อเสียงที่แท้จริงไป คือคุณภาพของนักเรียนไม่ได้อยู่ที่ทรงผม แต่อยู่ที่คุณภาพของการศึกษาเรียนรู้และคุณภาพจิตใจ
10.ปลูกฝังให้เยาวชนไม่ยอมรับความคิดเห็นผู้อื่น หรือขาดความมั่นใจในตัวเองไปเลย จากที่เห็นได้ว่าเยาวชนต้องการหลุดจากแอกของกฎทรงผม แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะผู้ใหญ่ไม่รับฟังความคิดเห็น เยาวชนจะถูกหล่อหลอมให้เชื่อมั่นความคิดตัวเองมากเกินไปจนไม่ฟังความคิดเห็นผู้อื่น ซึ่งเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย หรืออีกทางหนึ่งสูญเสียความมั่นใจ ทำอะไรก็ผิด เหตุผลดีแค่ไหนก็เท่านั้น เป็นอันตรายกับระบอบการปกครองเช่นกัน
ปล. เราไม่ได้จะว่าครูนะ แต่เราไปก๊อปเค้ามาอ่ะ ฮิอิ
ที่มาจ้า http://www.yenta4.com/webboard/viewtopic.php?cate_id=64&post_id=1266730
เขียนโดย ออย ที่ 07:16 0 ความคิดเห็น